แพทย์เผยสถานการณ์มะเร็งตับ อันดับ 1 คร่าชีวิตชายไทย ระบุ 5 ปัจจัยเสี่ยง ไวรัสตับอับเสบชนิดบี-ซี ดื่มแอลกอฮอล์ ความอ้วน กินอาหารที่มีเชื้อรา สุกๆ ดิบๆ และพันธุกรรม ชี้รักษาด้วยวิธีปลดล็อคควบคุมโรคมะเร็ง

แพทย์เผยสถานการณ์มะเร็งตับ อันดับ 1 คร่าชีวิตชายไทย ระบุ 5 ปัจจัยเสี่ยง ไวรัสตับอับเสบชนิดบี-ซี ดื่มแอลกอฮอล์ ความอ้วน กินอาหารที่มีเชื้อรา สุกๆ ดิบๆ และพันธุกรรม ชี้รักษาด้วยวิธีปลดล็อคควบคุมโรคมะเร็ง
www.Thainewsvision.comS__12722393
พญ.พจนา จิตตวัฒนรัตน์ อายุรแพทย์ด้านมะเร็งและโลหิตวิทยา กล่าวว่าปัจจุบันสถิติโรคมะเร็งตับ ถือเป็นมะเร็งที่พบมากที่สุดในเพศชาย และเป็นอันดับ 1 ที่ทำให้เสียชีวิต ขณะที่เพศหญิงพบเป็นอันดับ 3 ซึ่งอัตราการเสียชีวิตจากมะเร็งตับประมาณ 15,000 คนต่อปี แต่ละปีมีผู้ป่วยมะเร็งตับรายใหม่ ประมาณ 20,000 คน โดยโรคมะเร็งตับที่พบมากในประเทศไทยมี 2 ชนิด คือ โรคมะเร็งเนื้อตับ และโรคมะเร็งท่อน้ำดีตับ ส่วนแนวโน้มการเกิดโรคมะเร็งตับนั้นลดลงจากในอดีต เนื่องจากเด็กเกิดใหม่จะได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบชนิดบี ทำให้อัตราการเกิดโรคมะเร็งตับน้อยลงS__12722310
ทั้งนี้ โรคมะเร็งตับส่วนใหญ่จะเกิดในกลุ่มผู้ที่มีอายุ 40-50 ปี ขึ้นไป แต่ในคนที่อายุน้อย เช่น อายุ 20 -30 กว่าๆ ก็สามารถเป็นโรคมะเร็งได้ โดยสาเหตุโรคมะเร็งตับ 2 ชนิดมีความแตกต่างกัน ดังนี้ โรคมะเร็งเนื้อตับ เกิดจากไวรัสตับอักเสบชนิดบี ไวรัสตับอักเสบชนิดซี และประวัติการดื่มแอลกอฮอล์ ส่วนมะเร็งท่อน้ำดีตับ เกิดจากการทานสารที่ก่อมะเร็ง อย่าง เชื้อราอะฟลาทอกซิน ซึ่งจะอยู่ในพวกถั่ว ,ไนโตรซามีนหรือสารสร้างเนื้อแดง รวมถึงเป็นพยาธิใบไม้ในตับ การกินอาหารดิบ เป็นต้น79322302_2524795341177362_816944217543671808_n
พญ.พจนา กล่าวต่อว่าอาการโรคมะเร็งตับ เบื้องต้นจะรู้สึกเบื่ออาหาร น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ ไม่มีแรง อ่อนเพลีย บางคนมีลักษณะไม่อยากทำอะไร นอนมากผิดปกติ หรือถ้ามีอาการที่แสดงออกชัดเจน คือ ตัวเหลือง ตาเหลือง ท้องโต กินไม่ได้ และน้ำหนักลด มีอาการผิดปกติแตกต่างไปจากเดิม ควรไปพบแพทย์ทันที เพราะอาการเหล่านี้ล้วนบ่งบอกถึงอาการจากโรคมะเร็งตับ ไม่ควรมองข้าม อาการใดๆ ถ้าผิดปกติจากเดิม เป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้ามS__12722308
“5 พฤติกรรมเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคมะเร็งตับ ได้แก่1.กลุ่มคนที่เป็นไวรัสตับอักเสบชนิดบี ไวรัสตับอักเสบชนิดซี 2.พฤติกรรมการดื่มแอลกอฮอล์3.ความอ้วน เนื่องจากไขมันเกาะตับ ซึ่งมีความเสี่ยงตับแข็งและเป็นมะเร็งตับได้ โดยความอ้วนเพิ่มความเสี่ยงของมะเร็งทุกชนิด รวมถึงคนที่เป็นโรคเบาหวาน มีความเสี่ยงเป็นมะเร็งสูงถึง 2 เท่า 4.เกิดจากการรับประทานทานสารที่ก่อมะเร็ง อย่าง เชื้อราอะฟลาทอกซิน ซึ่งจะอยู่ในพวกถั่ว ,ไนโตรซามีนหรือสารสร้างเนื้อแดง รวมถึงเป็นพยาธิใบไม้ในตับ การกินอาหารดิบ เป็นต้น และ5.โรคทางพันธุกรรม เกิดจากร่างกายขาดเอนไซม์ที่มีธาตุเหล็กในตับเยอะทำให้มีความเสี่ยงเป็นตับแข็งและโรคมะเร็งตับได้” พญ.พจนา กล่าว79833932_2524795417844021_759822677220261888_n
พญ.พจนา กล่าวอีกว่าการรักษาโรคมะเร็งตับ เป็นไปตามลักษณะอาการของผู้ป่วยแต่ละคน โดยเริ่มแรกจะดูประวัติ ตรวจร่างกายของผู้ป่วย แต่ถ้าลักษณะตัวเหลือง ตาเหลือง ท้องบวม ก็จะมีการเจาะเลือดดูค่าตับว่าผิดปกติหรือไม่ มีการตรวจอัลตราซาวด์ เอกซเรย์ช่องท้อง และถ้าเห็นว่ามีก้อนผิดปกติจะมีการตรวจค่ามะเร็งในเลือด ซึ่งกรณีที่ค่ามะเร็งในเลือดสูง หรือมีไวรัสตับอักเสบชนิดบีสูงจะวินิจฉัยว่าเป็นโรคมะเร็ง ส่วนถ้าค่ามะเร็งในเลือดไม่สูงแต่มีก้อนเนื้อ ต้องเจาะชิ้นเนื้อเพื่อนำมาวินิจฉัยต่อไป แนวทางการป้องกันและรักษาโรคมะเร็งตับ ปัจจุบันถ้ามีการตรวจพบมะเร็งตับระยะแรกเริ่ม จะสามารถผ่าตัดตับ เปลี่ยนตับได้ทันที แต่ถ้าไม่สามารถผ่าตัดหรือเปลี่ยนตับ และเป็นระยะสุดท้ายจะใช้วิธีการรักษาอื่นๆ เช่น การจี้ไฟฟ้า จี้ไมโครเวฟ จี้ร้อน อุดเส้นเลือดเพื่อให้ก้อนมะเร็งฝ่อ แต่ถ้าเป็นหลายจุดจะเป็นการรักษาด้วยยา เพื่อให้ออกฤทธิ์ทางร่างกาย81120360_2524809571175939_7696831739485749248_o
“โรคมะเร็งตับระยะสุดท้าย สามารถรักษาด้วยยาเพื่อควบคุมอาการ โดยตอนนี้มีการใช้ยาพุ่งเป้า และยาภูมิคุ้มกันบำบัด ซึ่งยาภูมิคุ้มกันบำบัด ถือเป็นรูปแบบการรักษาใหม่สุดของโรคมะเร็งตับที่ตัวยาจะเข้าไปทำหน้าที่ปลดล็อคภูมิคุ้มกันของร่างกายในการจัดการสิ่งแปลกปลอม หรือฆ่าเซลล์มะเร็ง ทำให้สามารถควบคุมมะเร็งตับในผู้ป่วย ส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการดีขึ้น ใช้ชีวิตได้ปกติมากขึ้น เช่น ผู้ป่วยอายุ 65 ปี เป็นไวรัสตับอักเสบบี และเป็นตับแข็งในระยะที่ไม่สามารถผ่าตัดได้ จี้ไม่ได้ และไม่สามารถให้ยาพุ่งเป้าได้ จึงเลือกให้ยาภูมิคุ้มกันบำบัด ตอนแรกค่ามะเร็งในเลือดที่วัด ประมาณ 20,000 พอให้ยา โดสแรกเหลือ 3000 และลงมาอีก เหลือ 2,000 และตอนนี้ให้ยาไป 6 ครั้ง โรคสงบและหยุดยาไป”พญ.พจนา กล่าว
สำหรับการใช้ยาภูมิคุ้มกันบำบัด เป็นการฉีดยาไปยังผู้ป่วย ไม่ใช่เป็นการรักษาทางเลือก แต่เป็นการรักษาตามปกติโดยเลือกคนไข้ที่เหมาะสม ผู้ป่วยที่เป็นโรคมะเร็งตับทั้ง 2 ชนิด จะใช้การรักษาแตกต่างกัน ดังนี้ ผู้ป่วยที่เป็นโรคมะเร็งเนื้อตับ จะใช้ยาภูมิต้านทานบำบัดเมื่อยาพุ่งเป้าไม่ได้ผล ถือเป็นการให้ยาลำดับที่ 2 และจะให้ยาทุกๆ 2 หรือ 3 สัปดาห์ ขึ้นอยู่กับชนิดของยา ส่วนมะเร็งท่อน้ำดี จะใช้ได้เฉพาะบางกรณีสำหรับบางคนที่เหมาะสมเท่านั้น ขึ้นอยู่กับการวินิจฉัยของแพทย์รวมถึงอย่าไปหลงเชื่อการรักษาอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น การรับประทานกลุ่มยาหรือวิตามินดีท็อกซ์ตับ หรือดื่มน้ำเอนไซม์ที่บอกว่าจะรักษาโรคมะเร็งตับได้ เพราะยังไม่มีงานวิจัยหรือการทดลองที่สามารถยืนยันได้ว่ากลุ่มยาและวิตามินดีท็อกซ์ตับ หรือน้ำเอนไซม์จะสามารถช่วยป้องกันหรือรักษาโรคมะเร็งตับได้ หรือการใช้ช้อนร่วมกับคนที่เป็นไวรัสตับอักเสบชนิดบีแล้วจะติดโรค ดังนั้นขอให้อย่าเพิ่งด่วนตัดสินใจเชื่อ ผู้ป่วยควรจะพิจารณาให้ดีก่อน /////////////
สามารถรับฟังรายละเอียดได้ที่ https://youtu.be/zkrSaME66_4

Coffee Shop

ดูผลงานทั้งหมด »

Entertainment

ดูผลงานทั้งหมด »

Sport

ดูผลงานทั้งหมด »

Activity

ดูผลงานทั้งหมด »